เทคนิคการปลูกปาล์มน้ำมัน

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
-           ดินควรมีความอุดมสมบรูณ์ปานกลางถึงดี
-           ปริมาณน้ำฝนไม่ต่ำกว่า 1600 มม./ปี
-           มีช่วงแล้งไม่เกิน 3-4 เดือน
การเตรียมพื้นที่ ควรเตรียมในฤดูแล้งในระหว่างเดือน มกราคม-เมษายน
การเตรียมต้นกล้า
ระยะอนุบาลแรก (0-3 เดือน)  ไว้ในเรือนเพาะชำโดยเพาะชำต้นกล้าในถุงพลาสติกสีดำ ขนาด 6x7 หรือ 6x9 นิ้ว หนาอย่างน้อย 0.06 มม. จนต้นกล้ามีใบงอก 3-4 ใบ หรือต้นกล้าอายุประมาณ 3 เดือน จึงย้ายใส่ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ ในระยะนี้ต้องคัดทิ้งต้นกล้าประมาณ 5-15 % ที่มีลักษณะต้นเตี้ย และแคระแกร็น
ระยะอนุบาลหลัก (3 -12 เดือน) โดยเพาะต้นกล้าในถุงพลาสติกสีดำหนาอย่างน้อย 0.12 มม. ใช้ถุงพลาสติกสีดำขนาดไม่ต่ำกว่า 15x18 นิ้ว วางไว้ในแปลงกลางแจ้ง ในระยะนี้ต้องคัดทิ้งต้นกล้าประมาณ 5-10 % และในขณะขนย้ายต้นกล้าไปปลูก ในแปลงปลูกจริงต้องคัดทิ้งต้นกล้าที่ผิดปกติและไม่สมบูรณ์อีกประมาณ 2-5%
การจัดวางต้นกล้า วางต้นกล้าเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ระยะระหว่างถุงไม่ควรต่ำกว่า 75 ซม. โดยจัดแปลงแยกเป็นกลุ่มๆ ตามอายุต้นกล้า ไม่ปะปนกันมีป้ายแสดงให้เห็นชัดเจน
การดูแลรักษาต้นกล้า มีการให้น้ำในปุ๋ย กำจัดวัชพืช ควบคุมโรค และแมลง ตลอดจนการเตรียมต้นกล้า พร้อมนำไปปลูกในแปลงปลูกจริง ควรปฏิบัติตามหลักวิชาการ
การเลือกต้นกล้า ต้นกล้าที่แนะนำให้ปลูกเป็นต้นกล้าอายุ 12 เดือน ต้นสมบูรณ์แข็งแรง มีความสูงระหว่าง 100-150 เซนติเมตร จากระดับดินในถุง และมีใบประกอบรูปขนนก จำนวนอย่างน้อย 9 ใบ
การวางแนวปลูก ให้แถวปลูกหลักอยู่ในแนวทิศเหนือ-ใต้ ปลูกแบบสามเหลี่ยมด้านเท่า ระยะปลูกที่เหมาะสม
ระยะปลูกที่เหมาะสมสำหรับพันธุ์ลูกผสมที่ได้จากพ่อพันธุ์กลุ่มต่าง ๆ
การปลูก
ควรปลูกปาล์มน้ำมันในช่วงฤดูฝน ไม่ควรปลูกช่วงปลายฤดูฝนต่อเนื่องฤดูแล้ง ข้อควรระวังหลังจากปลูกไม่ควรเกิน 10 วัน จะต้องมีฝนตก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก ปลูกในช่วงระหว่างเดือนเมษายน ถึงกันยายน และภาคใต้ฝั่งตะวันออก ปลูกช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงตุลาคม เตรียมหลุมปลูกขนาด 45x45x35 เซนติเมตร
การให้ปุ๋ย
วิธีที่ 1 : ใช้ลักษณะอาการที่มองเห็นที่ต้นปาล์ม แสดงอาการขาดธาตุอาหาร
วิธีที่ 2 : ใส่ปุ๋ยเคมีตามผลการวิเคราะห์ใบปาล์มน้ำมันเป็นวิธีที่นิยมและแพร่หลายในปัจจุบัน
การใส่ปุ๋ยทางดินเพื่อลดต้นทุนในปาล์มน้ำมันอายุต่างๆ

อายุปาล์ม (ปี)
ปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้น
(แถบทอง)
ปุ๋ยเคมี
1 - 4
ใส่อัตรา 1-2 กิโลกรัม/ต้น/ปี ใส่บริเวณรอบโคนต้นที่กำจัดวัชพืชแล้ว
เน้นปุ๋ย N(ไนโตรเจน) เช่น สูตร25-7-7, 20-15-10  ใส่อัตรา 100 กรัม ทุก ๆ 40-60 วันร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว
5 – 9
ใส่อัตรา 2-4 กิโลกรัม/ต้น/ปี ใส่บริเวณรอบโคนต้นที่กำจัดวัชพืชแล้ว
เน้นปุ๋ย N และ K เช่นสูตร 12-10-25,10-8-30 อัตรา 2-3 กิโลกรัม/ต้น/ปี ใส่บริเวณรอบโคนต้นห่างจากโคนต้น 2.50 เมตร ถึง บริเวณปลายทางใบ
10 ปีขึ้นไป
3-4  กิโลกรัม/ต้น/ปี หว่านบริเวณระหว่างแถวปาล์มที่กำจัดวัชพืชแล้ว หรือ ขุดฝังบริเวณทรงพุ่ม
เน้นตัวหน้าและหลัง เช่นสูตร 12-10-25,10-8-30 อัตรา 3-4 กิโลกรัม/ต้น/ปี ใส่บริเวณรอบโคนต้นห่างจากโคนต้น 2.50 เมตร ถึง บริเวณปลายทางใบ
       
หมายเหตุ  ในกรณีที่ต้นปาล์ม แสดงอาการขาดธาตุโบรอน  ให้ผสมโบรอนชนิดน้ำเข้มข้น โบวีรอน  ให้ไปกับระบบน้ำ หรือฉีดพ่นบริเวณในทรงพุ่มและช่อทะลาย  ในอัตรา 1 ลิตรต่อพื้นที่ 1 ไร่  ปีละ 2-4 ครั้ง โดยเฉพาะปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้วควรเพิ่มความถี่มากขึ้น
การฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ  :  ใช้ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรไล่แมลง) ฉีดพ่นอัตรา 30-50 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อเร่งการเจริญเติบโตในปาล์มเล็ก  และเพิ่มผลผลิตในปาล์มใหญ่ ทำให้ปาล์มติดผลได้เพิ่มขึ้น
การให้น้ำ
ในสภาพพื้นที่ที่ช่วงฤดูแล้งยาวนาน หรือสภาพพื้นที่ที่มีการขาดน้ำมากกว่า 250 มม./ปี ถ้ามีแหล่งน้ำเพียงพอควรมีการให้น้ำเสริมในฤดูแล้ง
ตัดแต่งทางใบ
ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงปีที่ 6 ควรไว้ทางใบ 7-8 รอบ (56-64 ทางใบ) ต้นที่โตเต็มที่ควรไว้ทางใบ 4.5-6.5 รอบ (36-48 ทางใบ) ไม่ควรตัดแต่งทางใบจนกว่าจะถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต ควรตัดทางใบให้เหลือรองรับทะลายปาล์ม 2 ทาง (ชั้นล่างจากทะลาย) และทางใบที่ตัดแล้ว ควรนำมาเรียงกระจายแถวเว้นแถว และวางสลับแถวกันทุกๆ 4-5 ปี เพื่อเพิ่มอินทรีย์วัตถุ ให้กระจายทั่วแปลง
การตัดช่อดอก
ในระยะเริ่มการเจริญเติบโต การตัดช่อดอกตัวผู้และตัวเมีย ทิ้งในระยะแรก มีผลทำให้ต้นปาล์มเจริญเติบโตเร็ว แข็งแรง และมีขนาดใหญ่ เพราะอาหารที่ได้รับจะเสริมส่วนของลำต้น แทนการเลี้ยงช่อดอกและผลผลิต เมื่อถึงระยะให้ผลผลิตที่ต้องการ ผลผลิตจะมีขนาดใหญ่ และสม่ำเสมอ ถ้าไม่ตัดปล่อยทิ้งไว้ไม่เก็บเกี่ยว อาจเป็นแหล่งของเชื้อโรค โดยเฉพาะโรคทะลายเน่าได้
การใช้ทะลายเปล่าคลุมดิน
ทะลายเปล่าที่นำมาจากโรงงาน ควรนำมากองทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือน แล้วจึงนำไปวางกระจายไว้รอบโคนต้น โดยใส่ทะลายเปล่า อัตรา 150-225 กก./ต้น/ปี
การลดจำนวนต้นปาล์มต่อไร่เพื่อรักษาระดับผลผลิตให้สูง
ควรลดจำนวนต้นปาล์มจาก 22 ต้น/ไร่ ให้เหลือประมาณ 19 ต้น/ไร่ เมื่อปาล์มมีอายุ 10 ปี โดยเลือกคัดต้นปาล์ม ที่มีลักษณะผิดปกติและมีผลผลิตน้อย หรือไม่ให้ผลผลิตออก
ศัตรูของปาล์มน้ำมันและการป้องกันกำจัด
โรคที่สำคัญ
1. โรคใบไหม้ พบมากในระยะต้นกล้าหากรุนแรงทำให้ต้นกล้าถึงตายได้
2. โรคก้านทางใบบิด พบในต้นปาล์มน้ำมันอายุ 1-3 ปี หลังจากนำลงปลูกในแปลง มีผลให้การเจริญเติบโตของต้นปาล์มน้ำมันหยุดชะงัก
3. โรคยอดเน่า ระบาดมากในฤดูฝน เข้าทำลายต้นปาล์มน้ำมันตั้งแต่ในระยะกล้า แต่ส่วนใหญ่มักจะพบโรคนี้กับต้นปาล์มน้ำมัน อายุ 1-3 ปี ทำให้ใบยอดทั้งใบเน่าแห้งเป็นสีน้ำตาลแดง สามารถดึงหลุดออกมาได้ง่าย
การป้องกัน  แนะนำให้ผสม ไตรโคแม็ก  อัตรา 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร + สารจับใบ  ฉีดพ่นบริเวณยอด และลำต้น เพื่อป้องกันกำจัดเชื้อราศัตรูพืช  หากพบการระบาด ให้ใช้อัตรา 100 กรัม ฉีดพ่นทุก ๆ 7-10 วัน (ซ้ำ 2-3 ครั้ง)
4. โรคทะลายเน่าทำลาย ผลปาล์มก่อนที่จะสุก ระบาดมากในฤดูฝน ที่มีความชื้นสูง ทำให้เปอร์เซ็นต์กรดไขมันอิสระเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพในการให้น้ำมันน้อยลง
การป้องกัน  แนะนำให้ผสม ไตรโคแม็ก  อัตรา 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร + สารจับใบ  ฉีดพ่นบริเวณยอด และลำต้น เพื่อป้องกันกำจัดเชื้อราศัตรูพืช  หากพบการระบาด ให้ใช้อัตรา 100 กรัม ฉีดพ่นทุก ๆ 7-10 วัน (ซ้ำ 2-3 ครั้ง)
5. โรคลำต้นเน่า พบมากกับต้นปาล์มน้ำมันที่มีอายุมาก ปัจจุบันพบระบาดมากกับต้นปาล์มอายุ 10-15 ปี 
การป้องกัน  แนะนำให้ผสม ไตรโคแม็ก  อัตรา 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร + สารจับใบ  ฉีดพ่นบริเวณยอด และลำต้น เพื่อป้องกันกำจัดเชื้อราศัตรูพืช  หากพบการระบาด ให้ใช้อัตรา 100 กรัม ฉีดพ่นทุก ๆ 7-10 วัน (ซ้ำ 2-3 ครั้ง)
แมลงศัตรูที่สำคัญ
1.    หนอนหน้าแมว กัดทำลายใบจนเหลือแต่ก้านใบ ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ควรสำรวจแมลงในพื้นที่เป็นประจำ
2.    การป้องกัน  แนะนำให้ใช้ ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง)  ผสมอัตรา 50-100 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร  รดหรือฉีดพ่นบริเวณยอด, ลำต้นและใบ ทุก ๆ 15 วัน สำหรับปาล์มเล็ก  และทุก ๆ 20 วัน สำหรับปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้ว เพื่อป้องกันแมลงศัตรูเข้าทำลาย และยังเป็นการบำรุง กระตุ้นการเจริญเติบโตและติดผล(ทลาย) อีกทางหนึ่ง  ในกรณีพบการเข้าทำลาย ให้ใช้ ชีวภัณฑ์กำจัดหนอน(ปลอดสารพิษ) “บาร์ท๊อป” อัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร + ยาจับใบ ฉีดพ่นที่ยอด ในช่วงเวลาเย็น เพื่อกำจัด
3.    ด้วงกุหลาบ กัดทำลายใบของต้นปาล์มน้ำมัน ขนาดเล็กที่เพิ่งปลูกใหม่  การกำจัดวิธีเดียวกันกับด้วงแรด
4.    ด้วงแรด กัด เจาะโคนทางใบ ทำให้ทางใบหักง่าย และยังกัดเจาะทำลายยอดอ่อน ทำให้ทางใบที่เกิดใหม่ไม่สมบูรณ์ มีรอยขาดแหว่งเป็น ริ้วๆ คล้ายรูปสามเหลี่ยม ถ้ารุนแรงจะทำให้ต้นตายได้
การป้องกัน  แนะนำให้ใช้ ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง)  ผสมอัตรา 50-100 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร  รดหรือฉีดพ่นบริเวณยอด, ลำต้นและใบ ทุก ๆ 15 วัน สำหรับปาล์มเล็ก  และทุก ๆ 20 วัน สำหรับปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้ว เพื่อป้องกันแมลงศัตรูเข้าทำลาย และยังเป็นการบำรุง กระตุ้นการเจริญเติบโตและติดผล(ทลาย) อีกทางหนึ่ง  ในกรณีพบการเข้าทำลาย ให้ใช้ชีวภัณฑ์กำจัดหนอน(ปลอดสารพิษ) “เมทา-แม็ก” อัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร + ยาจับใบ ฉีดพ่นที่ยอด ในช่วงเวลาเย็น เพื่อกำจัด
สัตว์ศัตรูที่สำคัญ
ระยะตั้งแต่ปลูกจนถึงระยะเริ่มให้ผลผลิต (อายุ 1-3 ปี) มักพบ เม่น หมูป่า หนู และอีเห็น เข้ามากัดโคนต้นอ่อน และทางใบปาล์มส่วนที่ติดกับพื้นดิน
ระยะให้ผลผลิตศัตรูที่สำคัญ คือ หนู ซึ่งที่พบในสวนปาล์ม ได้แก่ หนูนาใหญ่ หนูท้องขาวทั้งชนิดที่เป็น หนูป่ามาเลย์ และหนูบ้านมาเลย์ หนูพุก หนูฟันขาวใหญ่ หนูท้องขาวสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมี เม่น กระแต หมูบ้า และอีเห็น
การป้องกันกำจัดวัชพืช
          การ ควบคุมวัชพืชมีหลายวิธี เช่น การใช้แรงงาน การใช้เครื่องจักรตัดวัชพืช การใช้วัสดุคลุมดิน การปลูกพืชคลุมดิน โดยใช้พืชตระกูลถั่ว และการใช้สารกำจัดวัชพืช ไม่แนะนำให้ใช้สารเคมี เพราะจะทำให้รากถูกทำลาย  ต้นชะงักการเจริญเติบโตและอาจตายได้
การปลูกแทนใหม่
ต้นปาล์มมีอายุประมาณ 18-25 ปี ต้นสูงเกินไปทำให้ค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวสูง และมีผลผลิตต่ำ
การเก็บเกี่ยว
1.วิธีการเก็บเกี่ยวผลปาล์มสด รวมถึงการรวมผลปาล์มส่งโรงงาน ซึ่งมีขั้นตอนโดยทั่วไปดังนี้
- ตกแต่งช่องทางลำเลียงระหว่างแถวปาล์มในแต่ละแปลงให้เรียบ ร้อย สะดวกกับการตัด การลำเลียง และการตรวจสอบทะลายปาล์มที่ตัด แล้วออกสู่แหล่งรวม หรือศูนย์รวมผลปาล์มที่กำหนดขึ้นแต่ละจุดภายในสวน
*ข้อควรระวังในการตกแต่งช่องทางลำเลียงปาล์ม คือจะต้องไม่ตัดทางปาล์มออกอีก เพราะถือว่าการตกแต่งทางปาล์มได้กระทำไปตามเทคนิคและขั้นตอนแล้ว หากมีทางใบอันใดกีดขวาง ก็อาจดึงหรือแหวกให้สะดวกในการทำงาน
- สำหรับกองทางใบที่ตัดแล้วอย่าให้กีดขวางทางเดิน หรือปิดกั้นทางระบายน้ำจะทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ระบายน้ำที่ขังตามทางเดิน
- คัดเลือกทะลายปาล์มสุกโดยยึดมาตรฐานจากการดูสีของผล ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง และจำนวนผลสุกที่ร่วงหล่นลงบนดินประมาณ 10-12 ผล ให้ถือเป็นผลปาล์มสุกที่ใช้ได้
- หากปรากฎว่าทะลายปาล์มสุกที่จะคัดมีขนาดใหญ่ ที่ติดแน่นกับลำต้นมาก ไม่สะดวกกับการใช้เสียมแทงเพราะจะทำให้ผลร่วงมาก ก็ใช้มีดขอหรือมีดด้ามยาวธรรมดา ตัดแซะขั้วทะลายกันเสียก่อน แล้วจึงใช้เสียมแทงทะลายปาล์มก็จะหลุดออกจากคอต้นปาล์มได้ง่ายขึ้น
- ให้ตัดแต่งขั้วทะลายปาล์มที่ตัดออกมาแล้วให้สั้นที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อสะดวกในการขนส่ง หรือเมื่อถึงโรงงาน ทางโรงงานก็จะบรรจุลงในถังต้มลูกปาล์มได้สะดวก
- รวบรวมผลปาล์มทั้งที่เป็นทะลายย่อยและลูกร่วงไว้เป็นกอง ในที่ว่างโคนต้นเก็บผลปาล์มร่วงใส่ตะกร้าหรือเข่ง
- รวบรวมผลปาล์มทั้งทะลายสดและผลปาล์มร่วงไปยังศูนย์รวมผลปาล์มในกองย่อย เช่น ในกระบะบรรทุก ที่ลากด้วยแทรกเตอร์หรือรถอีแต๋น
- การเก็บเกี่ยวผลปาล์ม ฝ่ายสวนจะต้องสนับสนุนให้ผู้เก็บเกี่ยวร่วมทำงานกันเป็นทีม ในทีมก็แยกให้เข้าคู่กัน 2 คน คนหนึ่งตัดหรือแทงปาล์ม อีกคนเก็บรวบรวมผลปาล์ม
- การเก็บรวบรวมผลปาล์ม พยายามลดจำนวนครั้งในการถ่ายเทย่อย ๆ เมื่อผลปาล์มชอกช้ำ มีบาดแผล ปริมาณของกรดไขมันอิสระจะเพิ่มมากขึ้น การส่งปาล์มออกจากสวน ควรมีการตรวจสอบลงทะเบียน มีตาข่ายคลุม เพื่อไม่ให้ผลปาล์มร่วงระหว่างทาง
2. มาตรฐานในการเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมัน จะต้องไม่ตัดผลปาล์มดิบไปขาย เพราะจะถูกตัดราคา จะต้องไม่ปล่อยให้ผลสุกคาต้นเกินไป
3. ต้องเก็บผลปาล์มร่วงบนพื้นให้หมด
4. ต้องไม่ทำให้ผลปาล์มที่เก็บเกี่ยวมีบาดแผล
5. ต้องคัดเลือกทะลายเปล่าหรือเขย่าผลที่มีอยู่น้อยออกแล้วทิ้งทะลายเปล่าไป
6. ตัดขั้วทะลายให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้
7. ต้องทำความสะดวกผลปาล์มที่เปื้อนดิน อย่าให้มีเศษหินดินปน
8. ต้องรีบส่งผลปาล์มไปยังโรงงานโดยไม่ชักช้า
ข้อควรปฏิบัติในการเก็บเกี่ยวทะลายปาล์มน้ำมัน
1.ตัดทะลายปาล์มน้ำมันที่สุกพอดี คือทะลายปาล์มเริ่มมีผลร่วง ไม่ควรตัดทะลายที่ยังดิบอยู่เพราะในผลปาล์มดิบยังมีสภาพเป็นน้ำและแป้งอยู่ ยังไม่แปรสภาพเป็นน้ำมัน ส่วนทะลายที่สุกเกินไป จะมีกรดไขมันอิสระสุก และผลปาล์มสดอาจมีสารบางชนิดอยู่ อาจเป็นอันตรายกับผู้บริโภคได้
2.รอบของการเก็บเกี่ยวในช่วงผลปาล์มออกชุก ควรจะอยู่ในช่วง 7-10 วัน
3.ผลปาล์มลูกร่วงที่อยู่บริเวณโคนปาล์มน้ำมัน และที่ค้างในกาบต้นควรเก็บออกมาให้หมด
4.ก้านทะลายควรตัดให้สั้นโดยต้องให้ติดกับทะลาย
5.พยายามให้ทะลายปาล์มชอกช้ำน้อยที่สุด
การกำหนดคุณภาพของผลปาล์มทั้งทะลายที่มีคุณภาพดี
1.ความสด เป็นผลปาล์มที่ตัดแล้วส่งถึงโรงงานภายใน 24 ชั่วโมง
2.ความสุก ทะลายปาล์มสุกที่มีมาตรฐาน คือ ลูกปาล์มชั้นนอกสุดของทะลายหลุดร่วงจากทะลาย
3.ความสมบูรณ์ ลูกปาล์มเต็มทะลายและเห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
4.ความชอกช้ำ ไม่มีทะลายที่ชอกช้ำและเสียหายอย่างรุนแรง
5.โรค ไม่มีทะลายเป็นโรคใด ๆ หรือเน่าเสีย
6.ทะลายสัตว์กิน ไม่มีทะลายสัตว์กินหรือทำความเสียหายแก่ผลปาล์ม
7.ความสกปรกไม่มีสิ่งสกปรกเจือปน เช่น ดิน หิน ทราย ไม้กาบหุ้มทะลาย เป็นต้น
8.ทะลายเปล่า ไม่มีทะลายเจือปน
9.ก้านทะลาย ความยาวไว้เก็บ 2 นิ้ว
ข้อเปรียบเทียบเมื่อใช้วัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์ เกรด AAA ยักษ์เขียว และปุ๋ยทางใบ ไบโอเฟอร์ทิล
  1. ต้นปาล์มเจริญเติบโตได้ดี  ให้ผลผลิตมากและต่อเนื่อง  ได้ปริมาณผลผลิตต่อไร่สูง  เปอร์เซ็นต์น้ำมันดีมาก
  2. ป้องกันและลดปัญหาการเข้าทำลายของแมลงศัตรูพืช  ทำให้ประหยัดต้นทุนการใช้สารเคมีกำจัด
  3. สารอินทรีย์จากยักษ์เขียว ปลดปล่อยธาตุอาหารพืชได้ต่อเนื่องกว่า  ทำ ให้รากเจริญเติบโตได้ดี สภาพดินดีขึ้น ช่วยอุ้มน้ำ เมื่อใส่เป็นประจำ จะทำให้พืชทนแล้งได้ดี และพืชเจริญเติบโตได้ต่อเนื่องกว่าการใช้ปุ๋ยเคมี
  4. ประหยัดต้นทุนทั้ง ค่าปุ๋ยทางดิน , ทางใบ  ทำให้ต้นทุนลดลง โดยที่ได้ผลผลิตเทียบเท่าหรือมากกว่า
  5. สุขภาพผู้ปลูกดีขึ้น เนื่องจากการใช้และสัมผัสกับสารเคมีลดลง
  6. การใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว  ร่วมด้วยเป็นประจำ  จะทำให้ต้นทุนปุ๋ยและสารทางดินต่อชุดการผลิต ลดลงได้ประมาณ 30-50 % โดยที่ผลผลิตที่ได้ยังเป็นปกติหรือดีกว่าเดิม และสังเกตได้ว่าสารอินทรีย์ในเนื้อปุ๋ยทำให้สภาพดินดีขึ้น  ดินโปร่ง อุ้มน้ำได้ดี  ต้นทนแล้งได้ดีขึ้น  และพืชตอบสนองต่อการให้ปุ๋ยทางดินดีกว่าเดิม ในระยะยาวปัญหาเรื่องโรคทางดินน้อยกว่าแปลงข้างเคียงที่ไม่ได้ใช้ ผลในทางอ้อม  เนื่อง จาก ยักษ์เขียว เป็นสารอินทรีย์แท้ จึงกระตุ้นจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ให้ย่อยปุ๋ย(เคมี)ที่ตกค้างในดินทำให้ รากพืชสามารถดูดซึมกลับไปใช้ได้ ธาตุอาหารในดินจะสมดุลมากกว่า


การปลูกปาล์มน้ำมัน

                 เทคนิคการปลูกปาล์มน้ำมัน

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
-           ดินควรมีความอุดมสมบรูณ์ปานกลางถึงดี
-           ปริมาณน้ำฝนไม่ต่ำกว่า 1600 มม./ปี
-           มีช่วงแล้งไม่เกิน 3-4 เดือน
การเตรียมพื้นที่ ควรเตรียมในฤดูแล้งในระหว่างเดือน มกราคม-เมษายน
การเตรียมต้นกล้า
ระยะอนุบาลแรก (0-3 เดือน)  ไว้ในเรือนเพาะชำโดยเพาะชำต้นกล้าในถุงพลาสติกสีดำ ขนาด 6x7 หรือ 6x9 นิ้ว หนาอย่างน้อย 0.06 มม. จนต้นกล้ามีใบงอก 3-4 ใบ หรือต้นกล้าอายุประมาณ 3 เดือน จึงย้ายใส่ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ ในระยะนี้ต้องคัดทิ้งต้นกล้าประมาณ 5-15 % ที่มีลักษณะต้นเตี้ย และแคระแกร็น
ระยะอนุบาลหลัก (3 -12 เดือน) โดยเพาะต้นกล้าในถุงพลาสติกสีดำหนาอย่างน้อย 0.12 มม. ใช้ถุงพลาสติกสีดำขนาดไม่ต่ำกว่า 15x18 นิ้ว วางไว้ในแปลงกลางแจ้ง ในระยะนี้ต้องคัดทิ้งต้นกล้าประมาณ 5-10 % และในขณะขนย้ายต้นกล้าไปปลูก ในแปลงปลูกจริงต้องคัดทิ้งต้นกล้าที่ผิดปกติและไม่สมบูรณ์อีกประมาณ 2-5%
การจัดวางต้นกล้า วางต้นกล้าเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ระยะระหว่างถุงไม่ควรต่ำกว่า 75 ซม. โดยจัดแปลงแยกเป็นกลุ่มๆ ตามอายุต้นกล้า ไม่ปะปนกันมีป้ายแสดงให้เห็นชัดเจน
การดูแลรักษาต้นกล้า มีการให้น้ำในปุ๋ย กำจัดวัชพืช ควบคุมโรค และแมลง ตลอดจนการเตรียมต้นกล้า พร้อมนำไปปลูกในแปลงปลูกจริง ควรปฏิบัติตามหลักวิชาการ
การเลือกต้นกล้า ต้นกล้าที่แนะนำให้ปลูกเป็นต้นกล้าอายุ 12 เดือน ต้นสมบูรณ์แข็งแรง มีความสูงระหว่าง 100-150 เซนติเมตร จากระดับดินในถุง และมีใบประกอบรูปขนนก จำนวนอย่างน้อย 9 ใบ
การวางแนวปลูก ให้แถวปลูกหลักอยู่ในแนวทิศเหนือ-ใต้ ปลูกแบบสามเหลี่ยมด้านเท่า ระยะปลูกที่เหมาะสม
ระยะปลูกที่เหมาะสมสำหรับพันธุ์ลูกผสมที่ได้จากพ่อพันธุ์กลุ่มต่าง ๆ
การปลูก
ควรปลูกปาล์มน้ำมันในช่วงฤดูฝน ไม่ควรปลูกช่วงปลายฤดูฝนต่อเนื่องฤดูแล้ง ข้อควรระวังหลังจากปลูกไม่ควรเกิน 10 วัน จะต้องมีฝนตก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก ปลูกในช่วงระหว่างเดือนเมษายน ถึงกันยายน และภาคใต้ฝั่งตะวันออก ปลูกช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงตุลาคม เตรียมหลุมปลูกขนาด 45x45x35 เซนติเมตร
การให้ปุ๋ย
วิธีที่ 1 : ใช้ลักษณะอาการที่มองเห็นที่ต้นปาล์ม แสดงอาการขาดธาตุอาหาร
วิธีที่ 2 : ใส่ปุ๋ยเคมีตามผลการวิเคราะห์ใบปาล์มน้ำมันเป็นวิธีที่นิยมและแพร่หลายในปัจจุบัน
การใส่ปุ๋ยทางดินเพื่อลดต้นทุนในปาล์มน้ำมันอายุต่างๆ

อายุปาล์ม (ปี)
ปุ๋ยอินทรีย์ ตรายักษ์เขียว สูตรเข้มข้น
(แถบทอง)
ปุ๋ยเคมี
1 - 4
ใส่อัตรา 1-2 กิโลกรัม/ต้น/ปี ใส่บริเวณรอบโคนต้นที่กำจัดวัชพืชแล้ว
เน้นปุ๋ย N(ไนโตรเจน) เช่น สูตร25-7-7, 20-15-10  ใส่อัตรา 100 กรัม ทุก ๆ 40-60 วันร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว
5 – 9
ใส่อัตรา 2-4 กิโลกรัม/ต้น/ปี ใส่บริเวณรอบโคนต้นที่กำจัดวัชพืชแล้ว
เน้นปุ๋ย N และ K เช่นสูตร 12-10-25,10-8-30 อัตรา 2-3 กิโลกรัม/ต้น/ปี ใส่บริเวณรอบโคนต้นห่างจากโคนต้น 2.50 เมตร ถึง บริเวณปลายทางใบ
10 ปีขึ้นไป
3-4  กิโลกรัม/ต้น/ปี หว่านบริเวณระหว่างแถวปาล์มที่กำจัดวัชพืชแล้ว หรือ ขุดฝังบริเวณทรงพุ่ม
เน้นตัวหน้าและหลัง เช่นสูตร 12-10-25,10-8-30 อัตรา 3-4 กิโลกรัม/ต้น/ปี ใส่บริเวณรอบโคนต้นห่างจากโคนต้น 2.50 เมตร ถึง บริเวณปลายทางใบ
       
หมายเหตุ  ในกรณีที่ต้นปาล์ม แสดงอาการขาดธาตุโบรอน  ให้ผสมโบรอนชนิดน้ำเข้มข้น โบวีรอน  ให้ไปกับระบบน้ำ หรือฉีดพ่นบริเวณในทรงพุ่มและช่อทะลาย  ในอัตรา 1 ลิตรต่อพื้นที่ 1 ไร่  ปีละ 2-4 ครั้ง โดยเฉพาะปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้วควรเพิ่มความถี่มากขึ้น
การฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ  :  ใช้ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรไล่แมลง) ฉีดพ่นอัตรา 30-50 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อเร่งการเจริญเติบโตในปาล์มเล็ก  และเพิ่มผลผลิตในปาล์มใหญ่ ทำให้ปาล์มติดผลได้เพิ่มขึ้น
การให้น้ำ
ในสภาพพื้นที่ที่ช่วงฤดูแล้งยาวนาน หรือสภาพพื้นที่ที่มีการขาดน้ำมากกว่า 250 มม./ปี ถ้ามีแหล่งน้ำเพียงพอควรมีการให้น้ำเสริมในฤดูแล้ง
ตัดแต่งทางใบ
ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงปีที่ 6 ควรไว้ทางใบ 7-8 รอบ (56-64 ทางใบ) ต้นที่โตเต็มที่ควรไว้ทางใบ 4.5-6.5 รอบ (36-48 ทางใบ) ไม่ควรตัดแต่งทางใบจนกว่าจะถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต ควรตัดทางใบให้เหลือรองรับทะลายปาล์ม 2 ทาง (ชั้นล่างจากทะลาย) และทางใบที่ตัดแล้ว ควรนำมาเรียงกระจายแถวเว้นแถว และวางสลับแถวกันทุกๆ 4-5 ปี เพื่อเพิ่มอินทรีย์วัตถุ ให้กระจายทั่วแปลง
การตัดช่อดอก
ในระยะเริ่มการเจริญเติบโต การตัดช่อดอกตัวผู้และตัวเมีย ทิ้งในระยะแรก มีผลทำให้ต้นปาล์มเจริญเติบโตเร็ว แข็งแรง และมีขนาดใหญ่ เพราะอาหารที่ได้รับจะเสริมส่วนของลำต้น แทนการเลี้ยงช่อดอกและผลผลิต เมื่อถึงระยะให้ผลผลิตที่ต้องการ ผลผลิตจะมีขนาดใหญ่ และสม่ำเสมอ ถ้าไม่ตัดปล่อยทิ้งไว้ไม่เก็บเกี่ยว อาจเป็นแหล่งของเชื้อโรค โดยเฉพาะโรคทะลายเน่าได้
การใช้ทะลายเปล่าคลุมดิน
ทะลายเปล่าที่นำมาจากโรงงาน ควรนำมากองทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือน แล้วจึงนำไปวางกระจายไว้รอบโคนต้น โดยใส่ทะลายเปล่า อัตรา 150-225 กก./ต้น/ปี
การลดจำนวนต้นปาล์มต่อไร่เพื่อรักษาระดับผลผลิตให้สูง
ควรลดจำนวนต้นปาล์มจาก 22 ต้น/ไร่ ให้เหลือประมาณ 19 ต้น/ไร่ เมื่อปาล์มมีอายุ 10 ปี โดยเลือกคัดต้นปาล์ม ที่มีลักษณะผิดปกติและมีผลผลิตน้อย หรือไม่ให้ผลผลิตออก
ศัตรูของปาล์มน้ำมันและการป้องกันกำจัด
โรคที่สำคัญ
1. โรคใบไหม้ พบมากในระยะต้นกล้าหากรุนแรงทำให้ต้นกล้าถึงตายได้
2. โรคก้านทางใบบิด พบในต้นปาล์มน้ำมันอายุ 1-3 ปี หลังจากนำลงปลูกในแปลง มีผลให้การเจริญเติบโตของต้นปาล์มน้ำมันหยุดชะงัก
3. โรคยอดเน่า ระบาดมากในฤดูฝน เข้าทำลายต้นปาล์มน้ำมันตั้งแต่ในระยะกล้า แต่ส่วนใหญ่มักจะพบโรคนี้กับต้นปาล์มน้ำมัน อายุ 1-3 ปี ทำให้ใบยอดทั้งใบเน่าแห้งเป็นสีน้ำตาลแดง สามารถดึงหลุดออกมาได้ง่าย
การป้องกัน  แนะนำให้ผสม ไตรโคแม็ก  อัตรา 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร + สารจับใบ  ฉีดพ่นบริเวณยอด และลำต้น เพื่อป้องกันกำจัดเชื้อราศัตรูพืช  หากพบการระบาด ให้ใช้อัตรา 100 กรัม ฉีดพ่นทุก ๆ 7-10 วัน (ซ้ำ 2-3 ครั้ง)
4. โรคทะลายเน่าทำลาย ผลปาล์มก่อนที่จะสุก ระบาดมากในฤดูฝน ที่มีความชื้นสูง ทำให้เปอร์เซ็นต์กรดไขมันอิสระเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพในการให้น้ำมันน้อยลง
การป้องกัน  แนะนำให้ผสม ไตรโคแม็ก  อัตรา 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร + สารจับใบ  ฉีดพ่นบริเวณยอด และลำต้น เพื่อป้องกันกำจัดเชื้อราศัตรูพืช  หากพบการระบาด ให้ใช้อัตรา 100 กรัม ฉีดพ่นทุก ๆ 7-10 วัน (ซ้ำ 2-3 ครั้ง)
5. โรคลำต้นเน่า พบมากกับต้นปาล์มน้ำมันที่มีอายุมาก ปัจจุบันพบระบาดมากกับต้นปาล์มอายุ 10-15 ปี 
การป้องกัน  แนะนำให้ผสม ไตรโคแม็ก  อัตรา 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร + สารจับใบ  ฉีดพ่นบริเวณยอด และลำต้น เพื่อป้องกันกำจัดเชื้อราศัตรูพืช  หากพบการระบาด ให้ใช้อัตรา 100 กรัม ฉีดพ่นทุก ๆ 7-10 วัน (ซ้ำ 2-3 ครั้ง)
แมลงศัตรูที่สำคัญ
1.    หนอนหน้าแมว กัดทำลายใบจนเหลือแต่ก้านใบ ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ควรสำรวจแมลงในพื้นที่เป็นประจำ
2.    การป้องกัน  แนะนำให้ใช้ ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง)  ผสมอัตรา 50-100 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร  รดหรือฉีดพ่นบริเวณยอด, ลำต้นและใบ ทุก ๆ 15 วัน สำหรับปาล์มเล็ก  และทุก ๆ 20 วัน สำหรับปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้ว เพื่อป้องกันแมลงศัตรูเข้าทำลาย และยังเป็นการบำรุง กระตุ้นการเจริญเติบโตและติดผล(ทลาย) อีกทางหนึ่ง  ในกรณีพบการเข้าทำลาย ให้ใช้ ชีวภัณฑ์กำจัดหนอน(ปลอดสารพิษ) “บาร์ท๊อป” อัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร + ยาจับใบ ฉีดพ่นที่ยอด ในช่วงเวลาเย็น เพื่อกำจัด
3.    ด้วงกุหลาบ กัดทำลายใบของต้นปาล์มน้ำมัน ขนาดเล็กที่เพิ่งปลูกใหม่  การกำจัดวิธีเดียวกันกับด้วงแรด
4.    ด้วงแรด กัด เจาะโคนทางใบ ทำให้ทางใบหักง่าย และยังกัดเจาะทำลายยอดอ่อน ทำให้ทางใบที่เกิดใหม่ไม่สมบูรณ์ มีรอยขาดแหว่งเป็น ริ้วๆ คล้ายรูปสามเหลี่ยม ถ้ารุนแรงจะทำให้ต้นตายได้
การป้องกัน  แนะนำให้ใช้ ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง)  ผสมอัตรา 50-100 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร  รดหรือฉีดพ่นบริเวณยอด, ลำต้นและใบ ทุก ๆ 15 วัน สำหรับปาล์มเล็ก  และทุก ๆ 20 วัน สำหรับปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้ว เพื่อป้องกันแมลงศัตรูเข้าทำลาย และยังเป็นการบำรุง กระตุ้นการเจริญเติบโตและติดผล(ทลาย) อีกทางหนึ่ง  ในกรณีพบการเข้าทำลาย ให้ใช้ชีวภัณฑ์กำจัดหนอน(ปลอดสารพิษ) “เมทา-แม็ก” อัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร + ยาจับใบ ฉีดพ่นที่ยอด ในช่วงเวลาเย็น เพื่อกำจัด
สัตว์ศัตรูที่สำคัญ
ระยะตั้งแต่ปลูกจนถึงระยะเริ่มให้ผลผลิต (อายุ 1-3 ปี) มักพบ เม่น หมูป่า หนู และอีเห็น เข้ามากัดโคนต้นอ่อน และทางใบปาล์มส่วนที่ติดกับพื้นดิน
ระยะให้ผลผลิตศัตรูที่สำคัญ คือ หนู ซึ่งที่พบในสวนปาล์ม ได้แก่ หนูนาใหญ่ หนูท้องขาวทั้งชนิดที่เป็น หนูป่ามาเลย์ และหนูบ้านมาเลย์ หนูพุก หนูฟันขาวใหญ่ หนูท้องขาวสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมี เม่น กระแต หมูบ้า และอีเห็น
การป้องกันกำจัดวัชพืช
          การ ควบคุมวัชพืชมีหลายวิธี เช่น การใช้แรงงาน การใช้เครื่องจักรตัดวัชพืช การใช้วัสดุคลุมดิน การปลูกพืชคลุมดิน โดยใช้พืชตระกูลถั่ว และการใช้สารกำจัดวัชพืช ไม่แนะนำให้ใช้สารเคมี เพราะจะทำให้รากถูกทำลาย  ต้นชะงักการเจริญเติบโตและอาจตายได้
การปลูกแทนใหม่
ต้นปาล์มมีอายุประมาณ 18-25 ปี ต้นสูงเกินไปทำให้ค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวสูง และมีผลผลิตต่ำ
การเก็บเกี่ยว
1.วิธีการเก็บเกี่ยวผลปาล์มสด รวมถึงการรวมผลปาล์มส่งโรงงาน ซึ่งมีขั้นตอนโดยทั่วไปดังนี้
- ตกแต่งช่องทางลำเลียงระหว่างแถวปาล์มในแต่ละแปลงให้เรียบ ร้อย สะดวกกับการตัด การลำเลียง และการตรวจสอบทะลายปาล์มที่ตัด แล้วออกสู่แหล่งรวม หรือศูนย์รวมผลปาล์มที่กำหนดขึ้นแต่ละจุดภายในสวน
*ข้อควรระวังในการตกแต่งช่องทางลำเลียงปาล์ม คือจะต้องไม่ตัดทางปาล์มออกอีก เพราะถือว่าการตกแต่งทางปาล์มได้กระทำไปตามเทคนิคและขั้นตอนแล้ว หากมีทางใบอันใดกีดขวาง ก็อาจดึงหรือแหวกให้สะดวกในการทำงาน
- สำหรับกองทางใบที่ตัดแล้วอย่าให้กีดขวางทางเดิน หรือปิดกั้นทางระบายน้ำจะทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ระบายน้ำที่ขังตามทางเดิน
- คัดเลือกทะลายปาล์มสุกโดยยึดมาตรฐานจากการดูสีของผล ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง และจำนวนผลสุกที่ร่วงหล่นลงบนดินประมาณ 10-12 ผล ให้ถือเป็นผลปาล์มสุกที่ใช้ได้
- หากปรากฎว่าทะลายปาล์มสุกที่จะคัดมีขนาดใหญ่ ที่ติดแน่นกับลำต้นมาก ไม่สะดวกกับการใช้เสียมแทงเพราะจะทำให้ผลร่วงมาก ก็ใช้มีดขอหรือมีดด้ามยาวธรรมดา ตัดแซะขั้วทะลายกันเสียก่อน แล้วจึงใช้เสียมแทงทะลายปาล์มก็จะหลุดออกจากคอต้นปาล์มได้ง่ายขึ้น
- ให้ตัดแต่งขั้วทะลายปาล์มที่ตัดออกมาแล้วให้สั้นที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อสะดวกในการขนส่ง หรือเมื่อถึงโรงงาน ทางโรงงานก็จะบรรจุลงในถังต้มลูกปาล์มได้สะดวก
- รวบรวมผลปาล์มทั้งที่เป็นทะลายย่อยและลูกร่วงไว้เป็นกอง ในที่ว่างโคนต้นเก็บผลปาล์มร่วงใส่ตะกร้าหรือเข่ง
- รวบรวมผลปาล์มทั้งทะลายสดและผลปาล์มร่วงไปยังศูนย์รวมผลปาล์มในกองย่อย เช่น ในกระบะบรรทุก ที่ลากด้วยแทรกเตอร์หรือรถอีแต๋น
- การเก็บเกี่ยวผลปาล์ม ฝ่ายสวนจะต้องสนับสนุนให้ผู้เก็บเกี่ยวร่วมทำงานกันเป็นทีม ในทีมก็แยกให้เข้าคู่กัน 2 คน คนหนึ่งตัดหรือแทงปาล์ม อีกคนเก็บรวบรวมผลปาล์ม
- การเก็บรวบรวมผลปาล์ม พยายามลดจำนวนครั้งในการถ่ายเทย่อย ๆ เมื่อผลปาล์มชอกช้ำ มีบาดแผล ปริมาณของกรดไขมันอิสระจะเพิ่มมากขึ้น การส่งปาล์มออกจากสวน ควรมีการตรวจสอบลงทะเบียน มีตาข่ายคลุม เพื่อไม่ให้ผลปาล์มร่วงระหว่างทาง
2. มาตรฐานในการเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมัน จะต้องไม่ตัดผลปาล์มดิบไปขาย เพราะจะถูกตัดราคา จะต้องไม่ปล่อยให้ผลสุกคาต้นเกินไป
3. ต้องเก็บผลปาล์มร่วงบนพื้นให้หมด
4. ต้องไม่ทำให้ผลปาล์มที่เก็บเกี่ยวมีบาดแผล
5. ต้องคัดเลือกทะลายเปล่าหรือเขย่าผลที่มีอยู่น้อยออกแล้วทิ้งทะลายเปล่าไป
6. ตัดขั้วทะลายให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้
7. ต้องทำความสะดวกผลปาล์มที่เปื้อนดิน อย่าให้มีเศษหินดินปน
8. ต้องรีบส่งผลปาล์มไปยังโรงงานโดยไม่ชักช้า
ข้อควรปฏิบัติในการเก็บเกี่ยวทะลายปาล์มน้ำมัน
1.ตัดทะลายปาล์มน้ำมันที่สุกพอดี คือทะลายปาล์มเริ่มมีผลร่วง ไม่ควรตัดทะลายที่ยังดิบอยู่เพราะในผลปาล์มดิบยังมีสภาพเป็นน้ำและแป้งอยู่ ยังไม่แปรสภาพเป็นน้ำมัน ส่วนทะลายที่สุกเกินไป จะมีกรดไขมันอิสระสุก และผลปาล์มสดอาจมีสารบางชนิดอยู่ อาจเป็นอันตรายกับผู้บริโภคได้
2.รอบของการเก็บเกี่ยวในช่วงผลปาล์มออกชุก ควรจะอยู่ในช่วง 7-10 วัน
3.ผลปาล์มลูกร่วงที่อยู่บริเวณโคนปาล์มน้ำมัน และที่ค้างในกาบต้นควรเก็บออกมาให้หมด
4.ก้านทะลายควรตัดให้สั้นโดยต้องให้ติดกับทะลาย
5.พยายามให้ทะลายปาล์มชอกช้ำน้อยที่สุด
การกำหนดคุณภาพของผลปาล์มทั้งทะลายที่มีคุณภาพดี
1.ความสด เป็นผลปาล์มที่ตัดแล้วส่งถึงโรงงานภายใน 24 ชั่วโมง
2.ความสุก ทะลายปาล์มสุกที่มีมาตรฐาน คือ ลูกปาล์มชั้นนอกสุดของทะลายหลุดร่วงจากทะลาย
3.ความสมบูรณ์ ลูกปาล์มเต็มทะลายและเห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
4.ความชอกช้ำ ไม่มีทะลายที่ชอกช้ำและเสียหายอย่างรุนแรง
5.โรค ไม่มีทะลายเป็นโรคใด ๆ หรือเน่าเสีย
6.ทะลายสัตว์กิน ไม่มีทะลายสัตว์กินหรือทำความเสียหายแก่ผลปาล์ม
7.ความสกปรกไม่มีสิ่งสกปรกเจือปน เช่น ดิน หิน ทราย ไม้กาบหุ้มทะลาย เป็นต้น
8.ทะลายเปล่า ไม่มีทะลายเจือปน
9.ก้านทะลาย ความยาวไว้เก็บ 2 นิ้ว
ข้อเปรียบเทียบเมื่อใช้วัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์ เกรด AAA ยักษ์เขียว และปุ๋ยทางใบ ไบโอเฟอร์ทิล
  1. ต้นปาล์มเจริญเติบโตได้ดี  ให้ผลผลิตมากและต่อเนื่อง  ได้ปริมาณผลผลิตต่อไร่สูง  เปอร์เซ็นต์น้ำมันดีมาก
  2. ป้องกันและลดปัญหาการเข้าทำลายของแมลงศัตรูพืช  ทำให้ประหยัดต้นทุนการใช้สารเคมีกำจัด
  3. สารอินทรีย์จากยักษ์เขียว ปลดปล่อยธาตุอาหารพืชได้ต่อเนื่องกว่า  ทำ ให้รากเจริญเติบโตได้ดี สภาพดินดีขึ้น ช่วยอุ้มน้ำ เมื่อใส่เป็นประจำ จะทำให้พืชทนแล้งได้ดี และพืชเจริญเติบโตได้ต่อเนื่องกว่าการใช้ปุ๋ยเคมี
  4. ประหยัดต้นทุนทั้ง ค่าปุ๋ยทางดิน , ทางใบ  ทำให้ต้นทุนลดลง โดยที่ได้ผลผลิตเทียบเท่าหรือมากกว่า
  5. สุขภาพผู้ปลูกดีขึ้น เนื่องจากการใช้และสัมผัสกับสารเคมีลดลง
  6. การใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ ยักษ์เขียว  ร่วมด้วยเป็นประจำ  จะทำให้ต้นทุนปุ๋ยและสารทางดินต่อชุดการผลิต ลดลงได้ประมาณ 30-50 % โดยที่ผลผลิตที่ได้ยังเป็นปกติหรือดีกว่าเดิม และสังเกตได้ว่าสารอินทรีย์ในเนื้อปุ๋ยทำให้สภาพดินดีขึ้น  ดินโปร่ง อุ้มน้ำได้ดี  ต้นทนแล้งได้ดีขึ้น  และพืชตอบสนองต่อการให้ปุ๋ยทางดินดีกว่าเดิม ในระยะยาวปัญหาเรื่องโรคทางดินน้อยกว่าแปลงข้างเคียงที่ไม่ได้ใช้ ผลในทางอ้อม  เนื่อง จาก ยักษ์เขียว เป็นสารอินทรีย์แท้ จึงกระตุ้นจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ให้ย่อยปุ๋ย(เคมี)ที่ตกค้างในดินทำให้ รากพืชสามารถดูดซึมกลับไปใช้ได้ ธาตุอาหารในดินจะสมดุลมากกว่า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น